ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคืออะไร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ ซึ่งมีสารอาหารหรือสารอื่นเป็นองค์ประกอบ เช่น วิตามิน กรดอะมิโน กรดไขมัน แร่ธาตุ โพรไบโอติกส์ เป็นต้น ใช้บริโภคเพื่อเสริมสร้างสุขภาพหรือเสริมความงาม
เราจำเป็นต้องรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่
กรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย ส่งเสริมอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติ ปัจจุบันเนื่องจากการทำงานอาจทำให้มีความเร่งรีบ รับประทานอาหารที่ไม่หลากหลาย รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารสุขภาพที่ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายได้ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อรักษาสมดุลของสารอาหารในร่างกาย อย่างไรก็ตามผู้ที่มีโรคประจำตัวและมียาที่รับประทานเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับสารอาหารที่ถูกต้อง ปลอดภัยและไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปลอดภัยหรือไม่
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการผลิต และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา มีความปลอดภัย หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมและใช้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ
สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพร้อมกับยาประจำได้หรือไม่
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ร่วมกับยาประจำ เพราะอาหารเสริมบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยา
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถแทนที่อาหารที่รับประทานได้หรือไม่
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่สามารถแทนที่อาหารที่รับประทานได้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยเติมเต็มสารอาหารที่ขาดหายไปในบางกรณี อย่างไรก็ตามไม่สามารถให้สารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลเหมือนกับอาหารจากธรรมชาติได้
ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลจากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ระยะเวลาในการเห็นผลจะแตกต่างกันไปตามชนิดของผลิตภัณฑ์และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปสามารถเห็นผลภายใน 8 สัปดาห์ ขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้น
สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้หลายชนิดพร้อมกันหรือไม่
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้หลายชนิด อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังในการรับประทานเกินขนาดและควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับยาประจำ
COLLAGEN-BLEND
Hydrolyzed collagen type II ต่างกับ Undenatured collagen type II อย่างไร
Hydrolyzed collagen type II ถูกผลิตโดยกระบวนการไฮโดรไลซิส ซึ่งเป็นการใช้เอนไซม์หรือกรดในการย่อยสลายโมเลกุลขนาดใหญ่ของคอลลาเจนให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กลงเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้นเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อ เหมาะสำหรับการเสริมสร้างและบำรุงสุขภาพของผิวหนัง ข้อต่อ และกระดูก ช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการปวดข้อ ในขณะที่ Undenatured collagen type II (UC-II) ถูกผลิตโดยการรักษาสภาพโครงสร้างทางเคมีของคอลลาเจนตามธรรมชาติ ซึ่งใช้กระบวนการที่ไม่ทำลายโครงสร้างโมเลกุล ช่วยในการลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดในข้อต่อ โดยการทำงานผ่านกระบวนการการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ควรรับประทานผลิตภัณฑ์นี้ในช่วงเวลาใดของวันจึงจะได้ผลดีที่สุด
ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ COLLAGEN-BLEND ช่วงใดจะดีที่สุด อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรรับประทานผลิตภัณฑ์ก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็น เนื่องจากในช่วงเวลานอนหลับ ร่างกายจะทำการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ รวมถึงข้อต่อต่าง ๆ การรับประทานก่อนนอนจะช่วยให้ร่างกายมีเวลามากขึ้นในการใช้สารอาหารเพื่อฟื้นฟูข้อต่อในช่วงเวลาที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวน้อย
ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเห็นผล
ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สำหรับคนส่วนใหญ่อาจเห็นผลเมื่อใช้ต่อเนื่องนาน 4 ถึง 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ถึง 6 เดือน
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในผู้สูงอายุได้หรือไม่
ผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้ในผู้สูงอายุได้ โดยมีผลช่วยลดอาการปวดข้อและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการใช้
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้ร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่น ๆ เช่น แคลเซียม หรือกรดไฮยาลูโรนิกได้หรือไม่
สามารถใช้ร่วมกันได้ ซึ่งอาจมีผลช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อข้อต่อและกระดูก
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้ร่วมกับยาบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบได้หรือไม่
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร COLLAGEN-BLEND ร่วมกับยาบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบได้ เนื่องจากไม่มีอันตรกิริยาระหว่างกัน
EASY DAY and NIGHT-BLEND + PROBIOTICS
ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยให้นอนหลับได้อย่างไร
ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบสำคัญคือ

1) กรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก (Gamma-Aminobutyric acid หรือ GABA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้ผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นและนอนหลับสนิทขึ้น

2) L-theanine เป็นสารที่ช่วยเสริมการทำงานของ GABA

3) โพรไบโอติกส์ 2 สายพันธุ์ได้แก่ Lactobacillus plantarum และ Bifidobacterium longum จะช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองและมีผลงานวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานโพร์ไบติกส์สายพันธุ์ดังกล่าวมีความเครียดลดลง และมีประสิทธิภาพในการนอนหลับดีขึ้น
ควรรับประทานผลิตภัณฑ์นี้อย่างไร
ปกติแล้วควรรับประทานก่อนนอนประมาณ 30 ถึง 60 นาที ตามปริมาณที่แนะนำบนฉลาก
สามารถรับประทานร่วมกับยานอนหลับได้หรือไม่
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานร่วมกับยานอนหลับเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์หรือการรับประทานเกินขนาด
สามารถใช้ในระยะยาวได้หรือไม่
เนื่องจากความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระยะยาวยังไม่ได้รับการศึกษามากนัก ดังนั้นหากมีความกังวลว่าจะมีความไม่ปลอดภัยจากการใช้ในระยะยาว อาจหยุดรับประทานเป็นครั้งคราวเช่นรับประทานติดต่อกันนาน 2-3 เดือนสลับกับหยุดรับประทานนาน 1 เดือนเป็นต้น
สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์นี้ในช่วงเวลากลางวันเพื่อช่วยลดความเครียดได้หรือไม่
สามารถใช้ได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของกรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก (Gamma-Aminobutyric acid หรือ GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายและลดความเครียด
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในผู้ที่มีประวัติการใช้ยานอนหลับเป็นเวลานานได้หรือไม่
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะหากมีประวัติการใช้ยานอนหลับเป็นเวลานาน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากผู้ที่เคยใช้ยานอนหลับอาจมีการตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป และการเปลี่ยนแปลงในระดับสารเคมีในสมองอาจมีผลต่อการนอนหลับและความตื่นตัว
ASTAXANTHIN + GRAPE SEED EXTRACT
Astaxanthin และ Grape Seed Extract คืออะไร
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุดชนิดหนึ่ง พบในสาหร่ายและสิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิด เช่น ปลาแซลมอนและกุ้ง มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการอักเสบและปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย ส่วนสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และส่งเสริมสุขภาพผิว
Astaxanthin และ Grape Seed Extract มีประโยชน์ต่อร่างกายด้านอื่น ๆ นอกจากผิวหรือไม่
มี เนื่องจากแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) และ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงป้องกัน กระบวนการออกซิเดชั่น จากอนุมูลอิสระที่มีผลต่อการเกิดริ้วรอยและการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควรแล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ ดังนี้

Astaxanthin

- ช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายของแสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) และลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม

- ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดโดยการลดการอักเสบและปกป้องผนังหลอดเลือด

- ช่วยลดความเหนื่อยล้าและเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย

Grape Seed Extract

- ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

- ช่วยลดความดันโลหิตและปรับสมดุลคอเลสเตอรอล

- มีประโยชน์ในการป้องกันโรคเส้นเลือดขอดและลดอาการบวมน้ำ
สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์นี้ในระยะยาวได้หรือไม่
การรับประทานอาหารเสริมที่มี Astaxanthin และ Grape Seed Extract ในปริมาณที่แนะนำในระยะยาวถือว่าปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่
ควรรับประทานผลิตภัณฑ์นี้ในช่วงเวลาใดของวันจึงจะได้ผลดีที่สุด
ควรรับประทานผลิตภัณฑ์ในตอนเช้าพร้อมอาหารเช้าหรือหลังอาหารเช้าทันที ก่อนที่ร่างกายจะต้องไปเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด รังสียูวี ความเครียด หรือมลภาวะต่าง ๆ เพราะ Astaxanthin และ Grape Seed Extract จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้นได้
Astaxanthin ที่สกัดจากธรรมชาติแตกต่างจาก Astaxanthin ที่ได้จากการสังเคราะห์อย่างไร
Astaxanthin ที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น จากสาหร่าย Haematococcus pluvialis มีความเข้มข้นและประสิทธิภาพสูงกว่า Astaxanthin ที่ได้จากการสังเคราะห์
ACTIVE-BLEND VITAMINS + PROBIOTICS
ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยอะไรได้บ้าง

ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีความแข็งแรง ซึ่งนอกจากประโยชน์เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน การรวมส่วนประกอบทั้งหมดนี้ในผลิตภัณฑ์เดียวสามารถให้ประโยชน์ที่ครอบคลุมต่อสุขภาพด้านต่างๆ ดังนี้

-  วิตามินดี: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในลำไส้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาของกระดูกและฟัน

-  วิตามินซี: มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจน การดูดซึมธาตุเหล็ก และการบำรุงผิวพรรณ

-  เบต้าแคโรทีน: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและเปลี่ยนเป็นวิตามินเอซึ่งสำคัญต่อการมองเห็น

-  แร่สังกะสี: ช่วยในการเจริญเติบโต การฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

-  โพรไบโอติกส์: ส่งเสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหารและช่วยปรับสมดุลจุลชีพในลำไส้ ส่งผลให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น

ผลิตภัณฑ์นี้มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร
ส่วนประกอบสำคัญเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างและบำรุงระบบภูมิคุ้มกัน โดยวิตามินดี วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแร่สังกะสีช่วยเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ ในขณะที่โพรไบโอติกส์ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน
ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับใคร
ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดบ่อย ผู้ที่พักผ่อนน้อย หรือผู้ที่มีการทำงานหรือใช้ชีวิตที่ต้องพบปะกับคนจำนวนมากซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ควรรับประทานผลิตภัณฑ์นี้อย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุด
การรับประทานผลิตภัณฑ์นี้แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินดีและเบต้าแคโรทีนที่ละลายได้ดีในไขมัน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากวิตามินซี ทั้งนี้ควรรับประทานห่างจากอาหารที่มีแคลเซียมหรือเหล็กสูง เนื่องจากแร่ธาตุเหล่านี้อาจมีผลต่อการดูดซึมของแร่สังกะสี โดยรับประทานห่างกันอย่างน้อย 2 ถึง 3 ชั่วโมง
ผลิตภัณฑ์นี้สามารถช่วยในการป้องกันโรคอะไรได้บ้าง
ผลิตภัณฑ์นี้สามารถช่วยในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ไข้หวัด ภูมิแพ้ และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy